1. ประวัติและความหมาย ประเพณี ทำบุญกลางเดือน 10 หรือประเพณีสารท
ของกลุ่มวัฒนธรรมเขมรในเขตจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษและบุรีรัมย์นั้นมีประเพณีทำบุญวันสารทเช่นเดียวกันกับกลุ่มวัฒนธรรมใน ภูมิภาคอื่นๆ แต่มีจุดประสงค์ที่จะทำบุญอุทิศส่วนกุศลแก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วโดยเรียกว่า “แซนโดนตา” ( แซน-เซ่นสรวง, โดน-โคตรเง่า, ตา-ตา ) ส่วนประเพณีแซนโดนตาจะเรียกสารทเล็กว่า “เบ็นตูจ” เรียกสารทใหญ่ว่า “เบ็นทม” คำว่า “เบ็น” มาจากภาษาบาลีว่า “บิณฑะ” แปลว่า ก้อนข้าว ตูจ แปลว่าเล็ก ทม แปลว่า ใหญ่
2. จุดมุ่งหมายการแซนโฎนตา ความ เชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษนั้น ดูจะมีเค้ามาจากศาสนาพุทธที่เชื่อว่า เมื่อผู้ตายตายไปแล้วจะแบ่งออกเป็น2 กลุ่ม คือกลุ่มที่ทำดีจะได้ไปสวรรค์ กับกลุ่มที่ทำชั่วทำบาปก็จะตกนรกเป็นสัตว์นรก ผี หรือเปรตพวกเหล่านี้จะได้รับทัณฑ์ทรมานมากน้อยต่างกัน
เมื่อถึงแรม 1 ค่ำเดือน 10 พระยายมจะอนุญาตให้ผีเหล่านี้เดินทางมาเยี่ยมลูกหลานได้ ผีจะพักอยู่ที่วัดและคอยดูทางว่าลูกหลานของตนจะมาทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ตนบ้างหรือไม่ ถ้าลูกหลานมาทำบุญอุทิศส่วนกุศลผลบุญนี้พวกตนก็ได้รับ และเมื่อได้อิ่มหนำสำราญก็จะพากันอวยพรให้ลูกหลานอยู่เย็นเป็นสุข แต่ถ้ารอแล้วไม่เห็นลูกหลานมาทำบุญ ก็จะสาปแช่งไม่ให้มีความสุขความเจริญ จากตำนานความเชื่อของชาวบ้านดังกล่าว จึงพอสรุปได้ว่า จุดมุ่งหมายของการแซนโดนตา ก็คือการทำบุญอุทิศส่วนกุศลแก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว
3. ระยะเวลาในการทำบุญพิธี แซนโดนตา หรือการเซ่นผีปู่ย่าตายายหรือผีบรรพบุรุษของชาวเขมรที่ทำเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่วงศาคณาญาติที่ล่วงลับไปแล้วได้แบ่งออกเป็นวันเบ็นตูจ และวันเบ็นทม คือ สารทเล็ก และสารทใหญ่ โดย เบ็นตูจ จัดกันในวันขึ้น 14-15 ค่ำ เดือน 10 และ เบ็นทม จัดกันในวันแรม 14-15 ค่ำ เดือน 10 แต่กระนั้นก็ตาม ช่วงระยะเวลาระหว่างวันเบ็นตูจถึงวันเบ็นทมนั้น ชาวเขมรก็ยังจัดอาหารมาทำบุญที่วัดต่อเนื่องกันมิได้ขาด
4. สถานที่ทำพิธีแซนโฎนตาจะ จัดทำบุญที่วัด (ทำบุญถวายจังหันพระสงฆ์)และนำอาหารเครื่องเซ่นมาเซ่นวิญญาณบรรพบุรุษที่ในเรือนบ้านของเจ้าพิธีที่จัดไว้ หรือที่ศาลโดนตาคือศาลผีปู่ตา ซึ่งเป็นศาลที่อยู่ของวิญญาณบรรพบุรุษประจำหมู่บ้าน หากหมู่บ้านใดไม่มีศาลโฏนตา ก็จะจัดทำพิธีแซนโฎนตาที่ในวัด
5. เครื่องแซนโฎนตา(เครื่องเซ่นผีปู่ตา-เขมร)ในเบ็นตูจ และเบ็นทมนั้นสิ่งของที่ใช้ในพิธีจะเหมือนกันคือ ทุกบ้านจะทำขนม ข้าวต้ม กระยาสารท ข้าวปลาอาหารพร้อมกับเหล้าใส่ถาดนำมารวมกันเพื่อประกอบพิธี “แซนโฏนตา” ซึ่งพอจะสรุปอุปกรณ์และเครื่องเซ่นที่ใช้ในพิธีกรรมได้ ดังนี้
1. ข้าวต้ม ข้าสุก กล้วย อ้อย เหล้า อาหารคาวและพวกแกงต่างๆ
2. ขนมหวานต่างๆ เช่น ขนมชั้น ขนมกง ทองหยิบฝอยทอง เป็นต้น
3. หมากพลู ยาสูบ หรือบุหรี่
4. กระเชอ 1 สำรับ หรือภาชนะอย่างอื่น

6. บายเบ็น (บายข้าว บายเบ็นทำจากข้าวเหนียวที่สุกแล้วผสมกับงาคลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วปั้นเป็นก้อนๆ วางบนถาด หรือจาน)
7. เงิน
8. ใบตอง 9. จาน หรือถาด
10. เรือ หรือกระทง (ที่ทำจากกาบกล้วยหรือกาบหมากก็ได้)
11. อาจมีกระดูกของผู้ล่วงลับไปแล้วใส่โกศมาวางร่วม
12. อื่นๆ (แล้วแต่บางหมู่บ้านอาจมีสิ่งของใช้ต่างๆ กันไป)
.jpg)
.jpg)
ตอนเย็นวันแรม 14 ค่ำ เดือน 10 เป็นพิธีใหญ่ เรียก “เบ็นทม” ชาวบ้านจะเตรียมการคล้ายเบ็ญตูจ สิ่งของที่ใช้ในงานก็เหมือนกับเบ็นตูจทุกอย่าง แต่ทำยิ่งใหญ่กว่าแแเมื่อเตรียมเรียบร้อยชาวบ้านจะพากันหาบคอน จุดใต้ จุดคบ หรือจุดเทียน มารวมกัน เดินไปก็ร้องตะโกนไปว่า“โมเวยโดนตาๆ ” ( มาเด้อ ผีปู่ย่าตายาย ) “ โกนเจายัวบาย ซ้อมสลอโมจูนโอยโฮบ” (ลูกหลานนำข้าวปลาอาหารมาส่งให้รับประทาน) ส่วนผู้ร่วมพิธีต่างก็จะตะโกนร้องเรียกให้ผีปู่ย่าตายายมารับประทานอาหารกัน ดังเซ็งแซ่อยู่ การตะโกนจะดังกันเซ็งแซ่ อาจมีถ้อยคำอื่น แต่มีนัยเช่นเดียวกัน และมีวงดนตรีปี่พาทย์บรรเลงอยู่ แล้วนิมนต์พระภิกษุสวดสูตรต่างๆ เกี่ยวกับเปรต มี “ปราถวสูตร” และ “อาฏานาฏิยสูตร” เป็นต้น
เมื่อท่านสวดจบในช่วงหนึ่งๆ ก็จะร้องตะโกน “โมเวยโดนตาๆ ” เสียงนี้จะดังกระหึ่มขานรับกันทั่วบริเวณช่วงนี้ก็จะจุดธูปเทียน ทำพิธี โดยรินเหล้าเทไปตามพื้น และพูดเรียก “โดนตา” ซึ่งชาวบ้านจะพากันขานรับ “ โมโวยโดนตา” จากนั้นกรรมพิธีต่างๆ ก็จะเหมือนกับเบ็นตูจ พิธีในช่วงเย็นก็มีเท่านี้ เช้ามืดแรม 15 ค่ำ เดือน 10 ชาวบ้านจัดเตรียมสำรับกับข้าว และข้าวของที่กองรวมกันไว้ตั้งแต่เมื่อคืน นำไปถวายพระภิกษุพร้อมทั้งอุทิศส่วนกุศลไปให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว นิมนต์พระมาสวดโดยนั่งเป็นวงกลมรอบข้าวของที่นำมารวมกัน ผู้นำภาชนะข้าวของมาจุดธูปเทียนอย่างละดอกเสียบลงที่จาน “บายเบ็น” เพื่อระลึกถึงผู้ล่วงลับไปแล้ว พระภิกษุ 1 รูป จะเทศน์ 1กัณฑ์ เกี่ยวกับความเป็นมาของประเพณีนี้
เมื่อพระท่านสวดเสร็จแล้วก็นำกระเชอที่ใส่ของนั้นไปเทที่ลานวัด โดยมีจุดประสงค์ให้ผู้ล่วงลับมารับของเหล่านั้น ซึ่งชาวบ้านและเด็กๆ นั่นเองจะเข้ามายื้อแย่งกันเป็นที่สนุกสนาน และเมื่อเสร็จพิธีพระภิกษุ จะฉันภัตตาหารเช้า ถือว่าเสร็จพิธีแซนโฏนตา สิ่งของที่เหลืออีกส่วนหนึ่ง เช่น ข้าวต้มที่ทำจากใบมะพร้าว (ข้าวต้มลูกโยน) พระภิกษุจะนำมาปิ้ง ในวันรุ่งขึ้น หรือในคืนนั้นเลยแล้วก็แบ่งญาติโยมนำกลับไปรับประทาน
ในบางหมู่บ้านตอนเย็นของวันแรม 15 ค่ำ อาจนิมนต์พระมาสวดอีกครั้งหนึ่งก็ได้ บางหมู่บ้านอาจมีพิเศษออกไป คือมีการลอยเรือกระทงส่งตอนเวลาก่อนสว่าง เป็นการส่งตายาย คือนำเอาเรือกระทงกาบกล้วย หรือกาบหมาก บรรจุข้าวปากหม้อ (เท่ากับผลแรกได้ของข้าวสุกในหม้อนั้น) กระยาสารท (ผลแรกได้ของพืชพันธุ์ธัญชาติ ) และขนมอื่นๆ ส้มสูกลูกไม้ใส่ลงไป ในกระทง กับมีเครื่องเสบียงกรัง เช่น กะปิ น้ำปลา พริก หอม กระเทียม เป็นต้น แล้วเอาไม้มาทำเป็นพายเล็กๆสองเล่มติดไปกับกระทง จุดธูปเทียนปักและติดไว้ในกระทง แล้วปล่อยให้ลอยน้ำไป ถ้าหมู่บ้านนั้นอยู่ห่างแม่น้ำลำคลองที่มีน้ำไหลก็จะนำไปวางไว้ยังทางสาม แพร่ง พร้อมกับกล่าวขณะส่งกระทงโดยมีค วามว่า “ ขอให้ไปยังทุ่งที่ท่านอยู่ ไปสู่เขาใต้หินใต้ผา ซึ่งเป็นที่อยู่ของท่าน ไปเถิดกลับไปเถิด” เป็นอันเสร็จพิธี
Citation : https://www.facebook.com/SmakhmKhnXnuraksPhasaThin/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น