วันเสาร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2557

พิธีกรรมแซนโฎนตา





1. ประวัติและความหมาย ประเพณี ทำบุญกลางเดือน 10 หรือประเพณีสารท
ของกลุ่มวัฒนธรรมเขมรในเขตจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษและบุรีรัมย์นั้นมีประเพณีทำบุญวันสารทเช่นเดียวกันกับกลุ่มวัฒนธรรมใน ภูมิภาคอื่นๆ แต่มีจุดประสงค์ที่จะทำบุญอุทิศส่วนกุศลแก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วโดยเรียกว่า “แซนโดนตา” ( แซน-เซ่นสรวง, โดน-โคตรเง่า, ตา-ตา ) ส่วนประเพณีแซนโดนตาจะเรียกสารทเล็กว่า “เบ็นตูจ” เรียกสารทใหญ่ว่า “เบ็นทม” คำว่า “เบ็น” มาจากภาษาบาลีว่า “บิณฑะ” แปลว่า ก้อนข้าว ตูจ แปลว่าเล็ก ทม แปลว่า ใหญ่ 


2. จุดมุ่งหมายการแซนโฎนตา ความ เชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษนั้น ดูจะมีเค้ามาจากศาสนาพุทธที่เชื่อว่า เมื่อผู้ตายตายไปแล้วจะแบ่งออกเป็น2 กลุ่ม คือกลุ่มที่ทำดีจะได้ไปสวรรค์ กับกลุ่มที่ทำชั่วทำบาปก็จะตกนรกเป็นสัตว์นรก ผี หรือเปรตพวกเหล่านี้จะได้รับทัณฑ์ทรมานมากน้อยต่างกัน 


เมื่อถึงแรม 1 ค่ำเดือน 10 พระยายมจะอนุญาตให้ผีเหล่านี้เดินทางมาเยี่ยมลูกหลานได้ ผีจะพักอยู่ที่วัดและคอยดูทางว่าลูกหลานของตนจะมาทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ตนบ้างหรือไม่ ถ้าลูกหลานมาทำบุญอุทิศส่วนกุศลผลบุญนี้พวกตนก็ได้รับ และเมื่อได้อิ่มหนำสำราญก็จะพากันอวยพรให้ลูกหลานอยู่เย็นเป็นสุข แต่ถ้ารอแล้วไม่เห็นลูกหลานมาทำบุญ ก็จะสาปแช่งไม่ให้มีความสุขความเจริญ จากตำนานความเชื่อของชาวบ้านดังกล่าว จึงพอสรุปได้ว่า จุดมุ่งหมายของการแซนโดนตา ก็คือการทำบุญอุทิศส่วนกุศลแก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว 



3. ระยะเวลาในการทำบุญพิธี แซนโดนตา หรือการเซ่นผีปู่ย่าตายายหรือผีบรรพบุรุษของชาวเขมรที่ทำเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่วงศาคณาญาติที่ล่วงลับไปแล้วได้แบ่งออกเป็นวันเบ็นตูจ และวันเบ็นทม คือ สารทเล็ก และสารทใหญ่ โดย เบ็นตูจ จัดกันในวันขึ้น 14-15 ค่ำ เดือน 10 และ เบ็นทม จัดกันในวันแรม 14-15 ค่ำ เดือน 10 แต่กระนั้นก็ตาม ช่วงระยะเวลาระหว่างวันเบ็นตูจถึงวันเบ็นทมนั้น ชาวเขมรก็ยังจัดอาหารมาทำบุญที่วัดต่อเนื่องกันมิได้ขาด 




4. สถานที่ทำพิธีแซนโฎนตาจะ จัดทำบุญที่วัด (ทำบุญถวายจังหันพระสงฆ์)และนำอาหารเครื่องเซ่นมาเซ่นวิญญาณบรรพบุรุษที่ในเรือนบ้านของเจ้าพิธีที่จัดไว้ หรือที่ศาลโดนตาคือศาลผีปู่ตา ซึ่งเป็นศาลที่อยู่ของวิญญาณบรรพบุรุษประจำหมู่บ้าน หากหมู่บ้านใดไม่มีศาลโฏนตา ก็จะจัดทำพิธีแซนโฎนตาที่ในวัด 



5. เครื่องแซนโฎนตา(เครื่องเซ่นผีปู่ตา-เขมร)ในเบ็นตูจ และเบ็นทมนั้นสิ่งของที่ใช้ในพิธีจะเหมือนกันคือ ทุกบ้านจะทำขนม ข้าวต้ม กระยาสารท ข้าวปลาอาหารพร้อมกับเหล้าใส่ถาดนำมารวมกันเพื่อประกอบพิธี “แซนโฏนตา” ซึ่งพอจะสรุปอุปกรณ์และเครื่องเซ่นที่ใช้ในพิธีกรรมได้ ดังนี้ 

1. ข้าวต้ม ข้าสุก กล้วย อ้อย เหล้า อาหารคาวและพวกแกงต่างๆ
2. ขนมหวานต่างๆ เช่น ขนมชั้น ขนมกง ทองหยิบฝอยทอง เป็นต้น
3. หมากพลู ยาสูบ หรือบุหรี่
4. กระเชอ 1 สำรับ หรือภาชนะอย่างอื่น 
5. ธูป 1 ดอก เทียน 1 เล่ม
6. บายเบ็น (บายข้าว บายเบ็นทำจากข้าวเหนียวที่สุกแล้วผสมกับงาคลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วปั้นเป็นก้อนๆ วางบนถาด หรือจาน)
7. เงิน
8. ใบตอง 9. จาน หรือถาด
10. เรือ หรือกระทง (ที่ทำจากกาบกล้วยหรือกาบหมากก็ได้)
11. อาจมีกระดูกของผู้ล่วงลับไปแล้วใส่โกศมาวางร่วม
12. อื่นๆ (แล้วแต่บางหมู่บ้านอาจมีสิ่งของใช้ต่างๆ กันไป) 




6. พิธีกรรมใน เย็นวันขึ้น 14 ค่ำ ชาวบ้านจะนำเครื่องแซนโฏนตาไปวางบนกลางผ้าขาว ซึ่งปูลาดไว้กลางห้องเรือนที่กลางหมู่บ้าน หรือที่ศาลโดนตาประจำหมู่บ้าน บางแห่งนำไปรวมกันที่ศาลาวัดที่ทำพิธีแซนโฏนตา แล้วพวกลูกหลานมานั่งล้อมวงอยู่รอบๆข้างผ้าขาวพร้อมกัน แล้วจุดธูปเทียนบูชาเอ่ยชื่อปู่ย่าตายายที่ล่วงลับไป เชิญให้มากินเครื่องเซ่นทั้งที่ตายไปนานแล้ว และไม่รู้จักชื่อก็นึกเชิญในใจด้วย ทางเจ้าพิธีนำเอาสุรามารินใส่แก้ว หรือจอกพรมไปตามสำรับอาหาร ปากก็กล่าวอันเชิญผีปู่ย่าตายายมารับประทานอาหาร เมื่อได้เวลาก็จุดยาสูบวางไว้ สักครู่ ใหญ่ 

สมมติว่า กินเสร็จแล้วจะแบ่งข้าวปลาอาหาร หมากพลู บุหรี่อย่างละเล็กละน้อยใส่ห่อกระดาษ หรือใบตองแล้วเหวี่ยงไปไกลๆ เรียกว่า “ปะจีร” (ออกไปเสีย) เชื่อว่าลูกหลานได้พาห่อข้าวปลาอาหารนี้ฝากไปให้กินระหว่างทาง หรือไปฝากผู้ที่ไม่ได้มารับเครื่องสังเวยในครั้งนี้ จากนั้นจึงยกเครื่องเซ่นออกจากที่ตั้งได้ แล้วเลี้ยงกันในระหว่างหมู่ญาติสู่กันกิน คนเฒ่าคนแก่ก็อวยชัยให้พรลูกหลานมีการคุยกันเรื่องต่างๆ นาๆ เช่น เรื่องการทำมาหากินการเล่าสารทุกข์สุกดิบสู่กันฟัง พอสมควรแก่เวลาก็แยกย้ายกันกลับบ้าน โดยไม่นำข้าวของส่วนกลางกลับบ้าน เรียกว่า “เบ็นตูจ” รุ่งเช้ามืดวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 ก็นำภัตตาหารไปทำบุญที่วัด พระภิกษุให้พร แล้วเลี้ยงพระ หลังจากนั้นอาจจะมีเทศน์เรื่อง อานิสงส์แซนโฏนตา หรือประวัติความเป็นมาของพิธีสารท ตามแนวพุทธชาวบ้านกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลแก่วงศาคณาญาติที่ล่วงลับไปแล้ว ทำเช่นนี้อยู่ทุกวันจนถึงวันแรม 14 ค่ำ 

ตอนเย็นวันแรม 14 ค่ำ เดือน 10 เป็นพิธีใหญ่ เรียก “เบ็นทม” ชาวบ้านจะเตรียมการคล้ายเบ็ญตูจ สิ่งของที่ใช้ในงานก็เหมือนกับเบ็นตูจทุกอย่าง แต่ทำยิ่งใหญ่กว่าแแเมื่อเตรียมเรียบร้อยชาวบ้านจะพากันหาบคอน จุดใต้ จุดคบ หรือจุดเทียน มารวมกัน เดินไปก็ร้องตะโกนไปว่า“โมเวยโดนตาๆ ” ( มาเด้อ ผีปู่ย่าตายาย ) “ โกนเจายัวบาย ซ้อมสลอโมจูนโอยโฮบ” (ลูกหลานนำข้าวปลาอาหารมาส่งให้รับประทาน) ส่วนผู้ร่วมพิธีต่างก็จะตะโกนร้องเรียกให้ผีปู่ย่าตายายมารับประทานอาหารกัน ดังเซ็งแซ่อยู่  การตะโกนจะดังกันเซ็งแซ่ อาจมีถ้อยคำอื่น แต่มีนัยเช่นเดียวกัน และมีวงดนตรีปี่พาทย์บรรเลงอยู่ แล้วนิมนต์พระภิกษุสวดสูตรต่างๆ เกี่ยวกับเปรต มี “ปราถวสูตร” และ “อาฏานาฏิยสูตร” เป็นต้น 

เมื่อท่านสวดจบในช่วงหนึ่งๆ ก็จะร้องตะโกน “โมเวยโดนตาๆ ” เสียงนี้จะดังกระหึ่มขานรับกันทั่วบริเวณช่วงนี้ก็จะจุดธูปเทียน ทำพิธี โดยรินเหล้าเทไปตามพื้น และพูดเรียก “โดนตา” ซึ่งชาวบ้านจะพากันขานรับ “ โมโวยโดนตา” จากนั้นกรรมพิธีต่างๆ ก็จะเหมือนกับเบ็นตูจ พิธีในช่วงเย็นก็มีเท่านี้ เช้ามืดแรม 15 ค่ำ เดือน 10 ชาวบ้านจัดเตรียมสำรับกับข้าว และข้าวของที่กองรวมกันไว้ตั้งแต่เมื่อคืน นำไปถวายพระภิกษุพร้อมทั้งอุทิศส่วนกุศลไปให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว นิมนต์พระมาสวดโดยนั่งเป็นวงกลมรอบข้าวของที่นำมารวมกัน ผู้นำภาชนะข้าวของมาจุดธูปเทียนอย่างละดอกเสียบลงที่จาน “บายเบ็น” เพื่อระลึกถึงผู้ล่วงลับไปแล้ว พระภิกษุ 1 รูป จะเทศน์ 1กัณฑ์ เกี่ยวกับความเป็นมาของประเพณีนี้ 

เมื่อพระท่านสวดเสร็จแล้วก็นำกระเชอที่ใส่ของนั้นไปเทที่ลานวัด โดยมีจุดประสงค์ให้ผู้ล่วงลับมารับของเหล่านั้น ซึ่งชาวบ้านและเด็กๆ นั่นเองจะเข้ามายื้อแย่งกันเป็นที่สนุกสนาน และเมื่อเสร็จพิธีพระภิกษุ จะฉันภัตตาหารเช้า ถือว่าเสร็จพิธีแซนโฏนตา สิ่งของที่เหลืออีกส่วนหนึ่ง เช่น ข้าวต้มที่ทำจากใบมะพร้าว (ข้าวต้มลูกโยน) พระภิกษุจะนำมาปิ้ง ในวันรุ่งขึ้น หรือในคืนนั้นเลยแล้วก็แบ่งญาติโยมนำกลับไปรับประทาน 

ในบางหมู่บ้านตอนเย็นของวันแรม 15 ค่ำ อาจนิมนต์พระมาสวดอีกครั้งหนึ่งก็ได้ บางหมู่บ้านอาจมีพิเศษออกไป คือมีการลอยเรือกระทงส่งตอนเวลาก่อนสว่าง เป็นการส่งตายาย คือนำเอาเรือกระทงกาบกล้วย หรือกาบหมาก บรรจุข้าวปากหม้อ (เท่ากับผลแรกได้ของข้าวสุกในหม้อนั้น) กระยาสารท (ผลแรกได้ของพืชพันธุ์ธัญชาติ ) และขนมอื่นๆ ส้มสูกลูกไม้ใส่ลงไป ในกระทง กับมีเครื่องเสบียงกรัง เช่น กะปิ น้ำปลา พริก หอม กระเทียม เป็นต้น แล้วเอาไม้มาทำเป็นพายเล็กๆสองเล่มติดไปกับกระทง จุดธูปเทียนปักและติดไว้ในกระทง แล้วปล่อยให้ลอยน้ำไป ถ้าหมู่บ้านนั้นอยู่ห่างแม่น้ำลำคลองที่มีน้ำไหลก็จะนำไปวางไว้ยังทางสาม แพร่ง พร้อมกับกล่าวขณะส่งกระทงโดยมีค วามว่า “ ขอให้ไปยังทุ่งที่ท่านอยู่ ไปสู่เขาใต้หินใต้ผา ซึ่งเป็นที่อยู่ของท่าน ไปเถิดกลับไปเถิด” เป็นอันเสร็จพิธี 


Citation :  https://www.facebook.com/SmakhmKhnXnuraksPhasaThin/